โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ทำบอลลูนครั้งแรกไม่ผ่าน อาการลิ้นหัวใจรั่วด้วย ควรดูแลอย่างไร

ในผู้ป่วยผู้สูงอายุที่มีโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ร่วมกับมีลิ้นหัวใจรั่วนั้น อาจจะมีภาวะหัวใจวายร่วมด้วยได้ ซึ่งอาจจะอธิบายถึงอาการเหนื่อยแม้จะนั่งเฉยๆ ภาวะหัวใจวาย คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจสูญเสียการทำงานจนไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ อาการโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่พบได้บ่อย หายใจลำบาก หอบเหนื่อย เจ็บแน่นอก อ่อนเพลีย ขาและข้อเท้าบวม เกิดจากการบวมน้ำ ไอมีเสมหะสีชมพู หากมีอาการเหนื่อยแม้ทำกิจกรรมที่ไม่ควรเหนื่อย เช่น กิจวัตรประจำวัน การเดินไปห้องน้ำ เดินไปมาในบ้าน อันนี้แสดงว่าภาวะหัวใจวายอาจจะเป็นค่อนข้างรุนแรง ให้รีบไปพบแพทย์ไม่ต้องรอวันนัด ส่วนถ้ามีอาการเหนื่อยเมื่อออกแรงนั้น ก็อาจจะเกิดจากการทำงานของหัวใจที่น้อยลงไปกว่าคนปกติ อาจจะทำให้ควรจะงดการกิจกรรมชนิดดังกล่าวลงไป และสังเกตอาการว่าหายเหนื่อยได้หรือไม่ สาเหตุอื่นๆของการเหนื่อยเช่น โรคทางปอด เช่น ปอดติดเชื้อมักมีไข้ไอร่วมด้วย หรือมีหลอดลมตีบแคบจากหลอดลมโป่งพองหรือโรคหอบหืดเป็นต้น แนะนำการพักการทำงานที่ต้องออกแรงมากๆไปก่อน ให้เหลือแต่กิจกรรมเบาๆ แล้วสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากเหนื่อยมากขึ้น เจ็บแน่นอก ขาบวม ไอ ให้รีบไปพบแพทย์ค่ะ
โรคเพมฟิกัส (Pemphigus) อาการ สาเหตุ การรักษาโรคเพมฟิกัส

โรคเพมฟิกัส (Pemphigus) เป็นกลุ่มอาการของโรคผิวหนังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดตุ่มน้ำพองที่มีหนองขึ้นบริเวณผิวหนังหรือเยื่อบุผิวอื่น ๆ เช่น ในดวงตา จมูก ปาก ลำคอ หรืออวัยวะเพศ และเมื่อตุ่มน้ำแตกออกจะกลายเป็นแผลและทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ โรคเพมฟิกัสสามารถพบได้ทุกวัย แต่จะพบมากในวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ถือเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการ เนื่องจากการปล่อยให้มีอาการโดยไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดการลุกลาม ติดเชื้อ หรือในกรณีร้ายแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการของโรคเพมฟิกัส อาการหลักคือเกิดตุ่มน้ำพองขึ้นบนผิวหนังหรือเยื่อบุผิวและสามารถแตกออกได้ง่าย เมื่อกลายเป็นแผลอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดและนำไปสู่การติดเชื้อตามมา ทั้งนี้ อาการของโรคเพมฟิกัสสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้ โรคเพมฟิกัสที่มีการแยกตัวของผิวหนังชั้นลึก (Pemphigus Vulgaris) เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีตุ่มน้ำพองภายในปาก มีลักษณะอ่อนนุ่มและแตกออกได้ง่าย สามารถลุกลามไปสู่ผิวหนังบริเวณอื่นได้ทั่วทั้งร่างกาย ผู้ป่วยมักรู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่มีอาการ หากมีตุ่มน้ำภายในปากจะทำให้รับประทานอาหารลำบากกว่าปกติ โรคเพมฟิกัสชนิดนี้จะไม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคันและมักไม่ทิ้งรอยแผลเป็นบนผิวหนัง แต่ในผู้ที่มีอาการติดเชื้ออาจเกิดรอยแผลเป็นได้ โรคเพมฟิกัสที่มีการแยกตัวของผิวหนังชั้นตื้น (Pemphigus Foliaceus) เป็นประเภทที่พบได้น้อยกว่า ผู้ป่วยจะเริ่มมีตุ่มน้ำพองบริเวณหนังศีรษะหรือใบหน้า และลามไปยังหน้าอก หลังหรือไหล่ แต่มักไม่เกิดภายในปาก ผู้ป่วยจะรู้สึกคันในบริเวณที่มีอาการและมักไม่รู้สึกเจ็บปวด อาการของโรคเพมฟิกัสอาจคล้ายคลึงกับโรคเพมฟิกอยด์ (Bullous Pemphigoid) และโรคเริม เนื่องจากอาการของโรคจะมีตุ่มน้ำขึ้นบนผิวหนังคล้ายกัน จึงอาจเข้าใจผิดว่าเป็นโรคเดียวกัน แต่ตุ่มน้ำของโรคเพมฟิกอยด์จะมีลักษณะแตกได้ยากและพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 […]
วัดความดันโลหิตอย่างไรให้แม่นยำ วิธีวัดความดันโลหิต การอ่านค่าวัดความดันโลหิต

การวัดความดันโลหิตอย่างไร ให้แม่นยำ เป็นการตรวจร่างกายที่สามารถให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดเบื้องต้น ซึ่งทำได้ภายในเวลารวดเร็วโดยไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใด ๆ การวัดอาจทำโดยพันปลอกแขนหรือสอดแขนจนสุดต้นแขนเข้าไปในเครื่องอัตโนมัติ หรือใช้ผ้าพันรอบแขนแล้วสูบลมให้ผ้าพองขึ้นจนเกิดแรงบีบที่แขน จากนั้นจึงค่อย ๆ ปล่อยลมออกและรอดูค่าความดันที่จะปรากฏคงที่ในเวลาต่อมา ทำไมต้องวัดความดันโลหิต ภาวะความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการบ่งบอก ผู้ป่วยอาจไม่เคยรู้ตัวจนกระทั่งได้รับการตรวจความดันโลหิตเบื้องต้นเมื่อเข้ารับการรักษาหรือตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล การตรวจพบภาวะความดันโลหิตสูงและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ นั้นสามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตเรื้อรัง รวมถึงโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตาได้ บุคคลทั่วไปควรตรวจความดันโลหิตเป็นประจำเมื่อมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ความถี่ในการตรวจวัดความดันที่เหมาะสมตามช่วงอายุ มีดังนี้ ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจความดันโลหิต 1 ครั้งต่อปี ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง เช่น มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน มีภาวะอ้วน และผู้ที่มีความดันโลหิตในระดับปกติถึงระดับสูงอยู่ที่ 130-139/85-89 มิลลิเมตรปรอท ควรตรวจวัดความดันโลหิต 1 ครั้งต่อปี ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18-39 ปีที่มีความดันโลหิตต่ำกว่า 130/85 มิลลิเมตรปรอทที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นใด ควรได้รับการตรวจความดันโลหิตทุก 3-5 ปี ทั้งนี้แพทย์อาจแนะนำให้รับการตรวจบ่อยกว่าข้างต้นได้ ขึ้นอยู่กับระดับความดันโลหิตและสุขภาพที่แตกต่างกันของคนไข้แต่ละราย หรือหากรู้สึกกังวลเกี่ยวกับระดับความดันโลหิตของตนเองก็สามารถไปรับการตรวจได้ทุกเมื่อ ซึ่งสถานที่ที่ให้บริการตรวจความดันโลหิต ได้แก่ […]
อาหารเสริม ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่ ทำไมต้องรับประทานอาหารเสริม

อาหารเสริม คือ สารอาหารที่ใช้รับประทานเพิ่มเติมจากมื้ออาหารหลัก อาจใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ หรือเพื่อบำรุงสุขภาพตามความเชื่อของบางบุคคล ส่วนสารอาหารที่มักถูกนำมาทำเป็นอาหารเสริม ได้แก่ วิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน พืช ผัก สมุนไพรต่าง ๆ เป็นต้น อาหารเสริมถูกผลิตออกมาให้สามารถรับประทานได้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ด แบบแคปซูล แบบผง หรือแบบน้ำ โดยอาหารเสริมอาจเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการรักษาทางการแพทย์ ที่ผู้ป่วยต้องรับประทานภายใต้การดูแลจากแพทย์เท่านั้น หรืออาจถูกวางจำหน่ายตามร้านขายยา ซึ่งผู้บริโภคควรรับประทานตามคำแนะนำของเภสัชกรและข้อบ่งชี้ที่ระบุบนฉลากอย่างเคร่งครัด ทำไมต้องรับประทานอาหารเสริม ? บางคนมีความเชื่อว่า การรับประทานอาหารเสริมอาจช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมเพิ่มเติมจากสารอาหารที่ได้รับจากมื้ออาหาร เพราะสารอาหารที่จำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโตของร่างกายหรือการมีสุขภาพดีโดยส่วนใหญ่ สามารถหาได้จากการรับประทานอาหารให้ครบโภชนาการทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนผู้ที่อาจมีความจำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริม ได้แก่ ผู้ที่กำลังป่วยด้วยภาวะต่าง ๆ ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยแล้วว่าร่างกายมีภาวะขาดสารอาหารชนิดใด ๆ ก็ตาม ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือเตรียมตัวตั้งครรภ์ และผู้ที่ไม่สามารถบริโภคสารอาหารเหล่านั้นได้ในปริมาณที่ร่างกายสมควรได้รับ เป็นต้น ทั้งนี้ หากร่างกายขาดสารอาหารบางชนิด อาจทำให้เกิดภาวะอาการป่วยที่สร้างปัญหาแก่สุขภาพได้ เช่น การขาดวิตามินเอ อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางสายตา ภาวะผิวแห้ง ผมแห้ง หรือคันระคายเคืองที่ผิวหนัง […]
อากาศหนาว และผลกระทบต่อสุขภาพ

อากาศหนาวอาจเป็นสิ่งที่หลายคนชอบและอยากให้มีอยู่นาน ๆ โดยเฉพาะเมืองร้อนอย่างประเทศไทย เพราะอากาศหนาวทำให้รู้สึกเย็นสบาย และไม่มีเหงื่อออกให้เหนียวตัว แต่ใช่ว่าความหนาวเย็นจะส่งผลดีเสมอไป เพราะอากาศลักษณะนี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน โดยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นมีตั้งแต่ไม่รุนแรงอย่างอาการผิวแห้ง ไปจนถึงอาการร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น ก่อนออกไปเผชิญความเหน็บหนาว ไม่ว่าทั้งตามฤดูกาลหรือตามการเดินทางไปยังท้องที่ต่าง ๆ จึงควรศึกษาผลกระทบและหาวิธีรับมืออากาศหนาวให้ดีก่อน ผลกระทบที่เกิดต่อร่างกายจากอากาศหนาว อากาศที่หนาวเย็นอาจทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป จนอาจเกิดความผิดปกติต่าง ๆ ขึ้น โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพในระยะยาวอย่างโรคหัวใจ มีปัญหาสุขภาพจิต เป็นผู้มีรายได้น้อยจนไม่สามารถซื้อเครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องใช้ที่ช่วยป้องกันอากาศหนาวได้ หรือมีความบกพร่องทางร่างกายที่อาจเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งผลกระทบและอาการที่อาจเกิดขึ้นจากอากาศหนาวนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น หนาวสั่น เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายพยายามควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ต่ำลงแม้จะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม โดยกล้ามเนื้อขนาดเล็กจำนวนมากจะหดตัวเพื่อสร้างความร้อน ซึ่งอาการหนาวสั่นอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญภายในร่างกายได้ แต่เมื่ออยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นและมีอาการสั่นร่วมด้วย ควรหาทางทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เพราะหากปล่อยให้ร่างกายเย็นลงกว่าเดิมก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้ ผิวแห้ง ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในฤดูหนาว เพราะอากาศเย็นที่สัมผัสผิวหนังจะดูดเอาความชุ่มชื้นบนผิวหนังออกไปด้วย จนอาจทำให้รู้สึกได้ว่ามีผิวแห้งบริเวณใบหน้า มือ หรือเท้า ซึ่งบางคนอาจมีอาการคัน ผิวแตก ผิวหนังอักเสบ หรืออาจทำให้โรคผิวหนังบางชนิดอย่างภูมิแพ้ผิวหนังมีอาการรุนแรงขึ้นได้ ปวดหัว สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้สารเคมีและคลื่นไฟฟ้าในสมองเปลี่ยนแปลงไป จนอาจกระทบต่อเส้นประสาทและเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวหรือกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ นอกจากนี้ การเผชิญกับอากาศหนาวโดยตรงหรือการสูดหายใจนำอากาศเย็นเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้รู้สึกปวดหัวคล้ายกับตอนรับประทานไอศกรีมอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน น้ำตาหรือน้ำมูกไหล ดวงตาเป็นอวัยวะที่ต้องการความชุ่มชื้นตลอดเวลา […]